EQM Platform EQM Platform

Inspiring Stories

การอนุรักษ์สัตว์ทะเลใกล้สูญพันธ์: พะยูนเกาะลิบง จังหวัดตรัง

การอนุรักษ์สัตว์ทะเลใกล้สูญพันธ์: พะยูนเกาะลิบง จังหวัดตรัง

การอนุรักษ์พะยูนในเกาะลิบงเป็นตัวอย่างการทำงานแบบบูรณาการที่นำไปสู่ผลเชิงบวกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการผสมผสานระหว่างการมีส่วนร่วมของชุมชน

Key Success

ปัญหาและความท้าทาย

เกาะลิบง จังหวัดตรัง เป็นพื้นที่สำคัญของระบบนิเวศชายฝั่งในประเทศไทย เป็นถิ่นอาศัยหลักของพะยูน สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมที่ใกล้สูญพันธุ์ โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยมีพะยูนเหลืออยู่ประมาณ 200 กว่าตัว ซึ่งเกาะลิบงมีพะยูนอาศัยมากกว่า 150 ตัว 
ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรพะยูนประกอบไปด้วย 2 ประการหลักๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันและมีความซับซ้อนในการแก้ปัญหา ได้แก่  การทำประมงโดยใช้อวนลาก อวนรุน และการใช้สารเคมี ซึ่งมีผลกระทบโดยตรง ทำให้พะยูนบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการติดอวน ติดเชือก หรือว่ายเข้าไปโดนมอเตอร์เรือประมงและเรือท่องเที่ยว เป็นต้น 

ปัญหาแหล่งอาหารหลักของพะยูนโดยเฉพาะหญ้าทะเลที่ลดลงมากอย่างรวดเร็วมาจากหลายสาเหตุที่สำคัญคือ ผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ปรากฏการณ์เอลนิโญ่ อุณหภูมิในทะเลสูงขึ้น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้สภาพแวดล้อมทางทะเลเปลี่ยนแปลงไป เมื่อหญ้าทะเลลดลงก็ทำให้พะยูนขาดแหล่งอาหาร ต้องอพยพไปหาแหล่งอาหารใหม่ เสี่ยงต่อการถูกอวนลาอวนรุน อุปกรณ์ประมง ประกอบกับพะยูนต้องตั้งท้องนานถึง 14 เดือนและออกลูกครั้งละหนึ่งตัว จึงทำให้จำนวนประชากรพะยูนซึ่งมีน้อยอยู่แล้วฟื้นตัวได้ช้าและใกล้สูญพันธุ์ 

แนวทางการแก้ไขปัญหา

การอนุรักษ์พะยูนในเกาะลิบง เริ่มจากมูลนิธิหยาดฝน องค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม เข้ามาริเริ่มโครงการอนุรักษ์ตั้งแต่ปี 2532 โดยเน้นการให้ความรู้กับชาวบ้านถึงความสำคัญของพะยูนต่อระบบนิเวศชายฝั่งและทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งอาหารหลักของพะยูนซึ่งก็คือหญ้าทะเล โดยในช่วงเริ่มต้น มีการนำไม้ไผ่ไปปักไว้ในเขตของหญ้าทะเล เพื่อเป็นการรณรงค์เชิงสัญญลักษณ์ว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สำคัญต่อการอนุรักษ์พะยูน พร้อมกับการสื่อสารเรื่องปัญหาของการการทำประมงแบบทำลายล้างที่ไม่มีความยั่งยืน 

เมื่อชุมชนเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของพะยูนต่อระบบนิเวศ การเก็บข้อมูลในพื้นที่จึงดำเนินการควบคู่กันไป โดยให้ชาวบ้านเป็นนักวิจัยด้วยตัวเอง เช่น การสังเกตและจดบันทึกจำนวนพะยูนที่พบบริเวณชายฝั่ง การสำรวจชนิดของหญ้าทะเล รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ แล้วนำมาเป็นฐานข้อมูลเพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของจำนวนพะยูนและสิ่งแวดล้อมในช่วงต่างๆ ของปี งานวิจัยของชุมชนได้ผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวเกาะลิบงซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมและมีอาชีพประมงชายฝั่งในเรื่องเกี่ยวกับพะยูน นับตั้งแต่ สภาพทางกายภาพ เช่น สี ตา ขน รวมไปถึงอุปนิสัยและแหล่งหากิน  

“โทน” พะยูนตัวแรกที่ได้รับการช่วยเหลือและอนุบาลจากชาวชุมชนในปี 2536 เป็นผลมาจากความเข้าใจของชาวชุมชนต่อพะยูนและการอนุรักษ์ระบบนิเวศชายฝั่งเกาะลิบง จนมีคำกล่าวว่า “ถ้าพะยูนอยู่ไม่ได้ ชาวเกาะลิบงก็อยู่ไม่ได้” เรื่องของ “โทน” ได้รับการเผยแพร่สู่สาธาณะจากสื่อมวลชนทำให้ชุมชนเกาะลิบงเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจในระดับประเทศในเรื่องการอนุรักษ์พะยูน  

ในระยะต่อมา ชาวชุมชนได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ดุหยง ซึ่งประกอบด้วยเยาวชนและชาวบ้านร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น เฝ้าระวังการทำร้ายพะยูน การรณรงค์ไม่ทิ้งขยะลงทะเล การสำรวจหญ้าทะเล และการจัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมแก่คนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียนชายฝั่ง โดยบูรณาการความรู้ทางวิชาการเข้ากับภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อให้เยาวชนเข้าใจความสำคัญของพะยูนและหญ้าทะเล และส่งต่อภารกิจอนุรักษ์ไปสู่คนรุ่นใหม่ ที่สำคัญ หน่วยงาน/องค์กรต่าง ๆ ได้ทำงานอย่างเต็มที่ในอนุรักษ์พะยูนเกาะลิบงตามความชำนาญเฉพาะ ด้านและนำเทคโนโลยี่มาใช้ ยกตัวอย่างเช่น ในการช่วยเหลือพะยูนบาดจ็บ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชและอาสาสมัครในพื้นที่ ได้เข้ามาทำงานร่วมกัน 

ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนพร้อมกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ชุมชนยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยเน้นให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับพะยูนและระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ ตัวอย่างเช่น โครงการการใช้โดรนเพื่อสำรวจ ติดตามพะยูน พร้อมกับส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งนำเสนอโครงการโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวและพัฒนาอาชีพเกาะลิบง ในปี 2562 ชุมชนได้รับการสนับสนุนโดรนมูลค่า 240,000 บาทจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) โดยชุมชนร่วมสมทบครึ่งหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภารกิจการอนุรักษ์ที่ชุมชนมีความเป็นเจ้าของร่วมกัน  

ข้อมูลจาก: 
จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลชุมชนเกาะลิงบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง
ไทยพีบีเอส.(9 พฤษภาคม 2568).พะยูนเกาะลิบงหางแหว่ง! กรมทะเลระดมทีมช่วย หลังเจอเชือกรัด
สิ่งแวดล้อม. https://www.thaipbs.or.th/news/content/352000
จิตราภรณ์ ฟักโสภา.(ไม่ระบุวันที่).คุณภาพระบบนิเวศทะเลไทยอาจวิกฤติ หาก “ปัญหาขยะพลาสติกในทะเล” ยังไม่ถูกจัดการอย่างยั่งยืน.SDG Move.
https://www.sdgmove.com/2023/07/26/plastic-pollution-sea-thailand/
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน). (10 พฤษภาคม 2567). คนลิบงร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล “พะยูนอยู่ไม่ได้ คนเกาะลิบงก็อยู่ไม่ได้”. THECITIZEN.PLUS. https://thecitizen.plus/node/98139
Bangkok Post. (19 February 2024). Seagrass die-off threatens dugongs' survival. https://www.bangkokpost.com/thailand/general/2744581/seagrass-die-off-threatens-dugongs-survival?utm_source
Project Seagrass (13 March 2025). Seagrass loss leaves Thailand’s dugongs struggling to survive
https://www.projectseagrass.org/blogs/seagrass-loss-leaves-thailands-dugongs-struggling-to-survive/?utm

รูปภาพจาก: จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลชุมชนเกาะลิบง




ปรับปรุงล่าสุด : 22 กันยายน 2568 16:09 ปรับปรุงโดย : Administrator