การท่องเที่ยวชุมชนเพื่อการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม (Regenerative Tourism) : บ้านถ้ำเสือ จังหวัดเพชรบุรี
ปัญหาและความท้าทาย
แต่เดิมชุมชนบ้านถ้ำเสือประสบปัญหาระบบการผลิตทางการเกษตรที่พึ่งพาปัจจัยการผลิตจากภายนอกโดยเฉพาะปุ๋ยเคมีและยากำจัดศัตรูพืช เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตสูงและการเพาะปลูกสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรดิน น้ำ รวมทั้งสุขภาพผู้บริโภคและตัวเกษตรกรเอง นอกจากนี้ เกษตรกรต้องนำผลผลิตออกไปขายนอกพื้นที่ซึ่งมีต้นทุนในการขนส่งสูง ประกอบกับราคาผลผลิตผันผวน รายได้เกษตรกรไม่แน่นอน ส่งผลให้เกษตรกรต้องออกไปหางานทำนอกพื้นที่ ในชุมชน เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน ขาดการเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับท้องถิ่นของตนเอง ความผูกพันกับท้องถิ่นบ้านเกิดน้อยลงเรื่อยๆ อีกทั้งการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่มีข้อจำกัด กล่าวคือ บ้านถ้ำเสือตั้งอยู่ห่างจากถนนสายหลัก และตั้งอยู่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม การเดินทางเข้าถึงไม่สะดวก ทำให้การพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนเป็นไปได้ยาก
การดำเนินงาน
ชุมชนบ้านถ้ำเสือ เริ่มต้นจากการทำธนาคารต้นไม้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยชาวบ้านสามารถนำต้นไม้ที่ปลูกไว้ไม่ต่ำกว่า 3 ปี มาใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ ทำให้เกิดแรงจูงใจในการปลูกไม้ยืนต้นมากขึ้น เช่น สัก มะฮอกกานี ยางนา และไม้ผล เป็นจำนวนมาก จากการทำธนาคารต้นไม้ของบ้านถ้ำเสือ จึงนำมาสู่การท่องเที่ยวโดยเริ่มจากการเปิดรับกลุ่มคนที่ต้องการเข้ามาดูงานเรื่องธนาคารต้นไม้ของชุมชน
ต่อมามีการพัฒนามาสู่การสร้างโฮมสเตย์เพื่อรองรับผู้เข้ามามาเยี่ยมชมโครงการธนาคารต้นไม้ โดยช่วงแรก ชาวบ้าน 8 หลังคาเรือนรวมกลุ่มกันทำโฮมสเตย์ พร้อมกับตั้งวิสาหกิจชุมชน และเริ่มจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวต่าง ๆ ในระยะต่อมา Local Alike ได้เข้ามาช่วยส่งเสริมให้ชุมชนมีบทบาทในการออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชน เช่น การปลูกต้นไม้ การยิงเมล็ดพันธุ์ การทำผ้า Eco Print การแปรรูปไข่เค็มใบเตย การทำน้ำกุหลาบจากวัตถุดิบอินทรีย์ และการสาธิตการทำขนมทองม้วนพื้นบ้าน เป็นต้น
ตลาดวันเสาร์-อาทิตย์ของชุมชนได้รับความสนใจ โดยเป็นตลาดที่มีกติการ่วมกันในการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การงดใช้โฟมและพลาสติก รวมทั้งการจำหน่ายสินค้าชุมชน เช่น ผลไม้ตามฤดูกาล ขนมพื้นบ้าน และเครื่องดื่มสมุนไพร ซึ่งตลาดชุมชนสามารถจำหน่ายสินค้าได้หมดทุกสัปดาห์ มีรายได้หมุนเวียนในชุมชนมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ในส่วนกิจกรรมการท่องเที่ยว มีกิจกรรมทางน้ำ เช่น พายเรือ ล่องเรือยาง จากต้นน้ำไปยังจุดต่างๆ โดยการท่องเที่ยวชุมชนมีการออกแบบร่วมกับผู้ประกอบการในพื้นที่ และชุมชนมีบทบาทในการดูแลจุดบริการ การจัดมัคคุเทศก์ท้องถิ่นให้ข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติและวิถีชีวิต นอกจากนี้ เยาวชนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น นักเรียนจากโรงเรียนเทศบาลมาทำงานเป็นบาริสต้าในตลาดวันหยุด ช่วยขายสินค้าชุมชน ตลอดจนได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะในการให้บริการ ทักษะในการสื่อสาร และความรับผิดชอบต่าง ๆ
จุดเด่นอีกประการหนึ่งของบ้านถ้ำเสือ คือ ป่าชุมชน ชุมชนมีการจัดการป่าชุมชนราว 3,000 ไร่และวางแผนที่จะเข้าสู่ระบบคาร์บอนเครดิต โดยในช่วงแรก ได้รับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้และแนวทางการบริหารจัดการจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และการสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชนในการสำรวจ ดูแลรักษาป่า การป้องกันไฟป่า จำนวน 540 บาทต่อไร่ต่อปีในระยะเวลา 10 ปี โดยชุมชนใช้ทั้งภาพถ่ายดาวเทียมและการตรวจภาคสนามติดตามผลฟื้นฟูป่า เก็บข้อมูลความหนาแน่นพืชพรรณเป็นหลักฐานรับรองคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ โครงสร้างการบริหารจัดการของชุมชนประกอบด้วยคณะกรรมการด้านต่าง ๆ ได้แก่ กรรมการธนาคารต้นไม้ กรรมการท่องเที่ยว กรรมการป่าชุมชน และกรรมการวิสาหกิจชุมชน ซึ่งทำงานร่วมกัน
Key Success
"บ้านถ้ำเสือ ถือเป็นตัวอย่างหนี่งที่สะท้อนถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศและการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่เป็นไปควบคู่กัน โดยมีโครงสร้างภายในชุมชนที่เข้มแข็ง มีภาคีสนับสนุนที่เข้าใจบริบท และมีการการออกแบบกิจกรรมที่ให้ชุมชนมีบทบาทและเป็นเจ้าของ แนวทางการท่องเที่ยวแบบฟื้นฟูนี้สามารถเป็นแนวทางหลักของการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการสร้างรายได้แก่ชุมชนในพื้นที่อื่น ๆ "
ข้อมูลอ้างอิง: ชุมชนบ้านถ้ำเสือ