ระบบเตือนภัยพิบัติ: การเตือนภัยสึนามิ บ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา
การมีส่วนร่วมของชุมชนที่เข้มแข็ง การส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมและฝึกปฏิบัติจริงอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการได้รับการสนับสนุนจากภาคีเครือข่าย ทั้งด้านงบประมาณ เทคโนโลยีและองค์ความรู้
Key Success
ปัญหาและความท้าทาย
ประเทศไทยในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์สึนามิ ในปี พ.ศ. 2547 ยังไม่มีระบบเตือนภัยสึนามิที่ทันสมัยหรือพร้อมใช้งานมากนัก ระบบวิเคราะห์และแจ้งเตือนข้อมูลจากแผ่นดินไหวและการเกิดคลื่นสึนามิในทะเลอันดามันยังไม่สามารถเตือนภัยได้ทันท่วงที เมื่อเกิดสึนามิขึ้น จึงทำให้ชุมชนชายฝั่งหลายแห่งรวมถึงบ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจากชุมชนยังขาดการเตรียมความพร้อมที่ดีรวมทั้งการเตือนล่วงหน้า
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารยังมีข้อจำกัด ประกอบกับความรู้ของประชาชนเกี่ยวกับภัยพิบัติทางทะเลยังคงมีน้อย ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง การอพยพเกิดความล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ สถานการณ์เหล่านี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาระบบเตือนภัยที่ครอบคลุมทั้งด้านเทคโนโลยีและการสร้างความตื่นตัวให้ชุมชน เพื่อให้เกิดการเตรียมความพร้อม
แนวทางการแก้ไขปัญหา
หลังเหตุการณ์สึนามิ บ้านน้ำเค็มได้กลายเป็นพื้นที่ต้นแบบของการฟื้นฟูชุมชนและการพัฒนาระบบเตือนภัยที่ครอบคลุม โดยเริ่มต้นจากการติดตั้งหอกระจายข่าวที่เชื่อมต่อกับศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ พร้อมทั้งมีระบบตรวจวัดแผ่นดินไหวและการเคลื่อนไหวของระดับน้ำทะเล เพื่อให้สามารถแจ้งเตือนภัยได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
การเตรียมความพร้อมของชุมชน หลังเหตุการณ์สึนามิ ชุมชนก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุปบทเรียนร่วมกัน โดยชุมชนร่วมมือและตกลงกันสร้างระบบการเตรียมความพร้อมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ได้แก่ การฝึกอบรมอาสาสมัครเตือนภัยจากคนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและผู้นำชุมชน ซึ่งได้รับการฝึกให้เข้าใจระบบเตือนภัย การอพยพ การใช้เครื่องมือสื่อสาร และการช่วยเหลือเบื้องต้น ทำให้แกนนำชุมชนสามารถเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติได้
การซ้อมแผนอพยพสึนามิเป็นกิจกรรมที่ชุมชนบ้านน้ำเค็มทำเป็นประจำทุกปี โดยมีการกำหนดเส้นทางอพยพ จุดรวมพล และซ้อมร่วมกับโรงเรียนและหน่วยงานในพื้นที่ การซ้อมอพยพที่ทำปีละ 2 ครั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอพยพ จนปัจจุบันสามารถอพยพทุกครัวเรือนไปยังจุดนัดหมายภายในเวลาเพียง 14 นาที ซึ่งสร้างทั้งความคุ้นเคยและความมั่นใจให้กับชุมชนในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ บ้านน้ำเค็มยังได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ภัยพิบัติ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเยาวชน นักท่องเที่ยว และผู้สนใจทั่วไป โดยเน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการฝึกปฏิบัติจริง โครงการเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรภาคประชาชนและนานาชาติ เช่น สภากาชาด UNDP และองค์กร NGO ทั้งด้านงบประมาณ เทคโนโลยี และองค์ความรู้ การดำเนินงานอย่างเข้มแข็งของชุมชนบ้านน้ำเค็มไม่เพียงช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและจิตใจของผู้คนในพื้นที่ แต่ยังได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติว่าเป็นตัวอย่างของการฟื้นฟูที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน
กรณีของบ้านน้ำเค็มแสดงให้เห็นว่า การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติ นอกจากระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีที่เหมาะสมแล้ว ต้องควบคู่ไปกับความรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชน บทเรียนสำคัญ คือ การสร้างระบบที่เชื่อมโยงกันระหว่างศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หน่วยงานส่วนกลาง และหน่วยงานท้องถิ่น การฝึกอบรมอาสาสมัคร การสื่อสารในภาวะวิกฤต และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องในชุมชน โดยมีหัวใจสำคัญคือ การเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติโดยความร่วมมือกันของสมาชิกชุมชนผ่านการสรุปบทเรียน
บทเรียนจากบ้านน้ำเค็มสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ชายฝั่งอื่นๆ ได้ โดยเน้นการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ การสร้างและพัฒนาผู้นำชุมชนที่เข้าใจระบบเตือนภัย รวมถึง “การลงทุนในการศึกษาด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติให้กับคนรุ่นใหม่ การดำเนินการเหล่านี้จะช่วยสร้างชุมชนตื่นรู้พร้อมรับมือกับภัยพิบัติได้จริงทั้งในระดับครัวเรือนและระดับพื้นที่
https://mgronline.com/south/detail/9680000062325
